ประวัติ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กองหน้าผู้ปลุกชีพ หงส์
ประวัติ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ สุดยอดกองหน้าสัญชาติอียิปต์ ผู้เข้ามาช่วยให้ความฝันของแฟน “หงส์แดง” ให้สามารถเป็นจริงได้อีกครั้ง กับการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี
ข้อมูลส่วนตัวของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์
ชื่อเต็ม : ไค ลูคัส ฮาแวร์ตซ์ (Kai Lukas Havertz)
วันเกิด : 11 มิถุนายน ค.ศ. 1999 (23 ปี)
สถานที่เกิด : อาเคิน เยอรมนี
สัญชาติ : เยอรมนี
ส่วนสูง : 1.89 เมตร
สโมสรปัจจุบัน : เชลซี
ตำแหน่งที่เล่น : กองกลางตัวรุก / ปีก / กองหน้า
สวมเสื้อเบอร์ : 29
ลงเล่น : 69
ยิงประตู : 15
เส้นทางในวงการลูกหนัง
เมื่อครั้งเยาวัย ซาลาห์ เริ่มต้นการเล่นฟุตบอลจากทีมในท้องถิ่นของบ้านเกิด ต่อมาได้ติดทีมเยาวชน ก่อนที่ในปี 2012 บาเซิ่ล จะเห็นแววในตัวเขาและดึงตัวเข้าไปร่วมทีม ซึ่งการย้ายครั้งนี้ของเขาเป็นการย้ายข้าวทวีป เข้ามาค้าแข้งในทวีปยุโรปกับต้นสังกัดใหม่ ต้องมาเจอสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ การฝึกซ้อมในแบบที่ไม่คุ้นเคย รวมทั้งเพื่อนร่วมทีมคนใหม่ๆ ทำให้ ซาลาห์ ค่อนข้างปรับตัวได้ลำบาก
ในช่วงแรกที่เจ้าตัวได้ทำการย้ายมา บาเซิ่ล เขายังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบการเล่นของทีมใหม่ได้ จนทำให้ต้องไปเริ่มต้นเล่นที่ทีมสำรองเสียก่อน จากนั้นด้วยความมุ่งมั่น และความพยายามของเขา ทำให้เขายกระดับการเล่นของตัวเองจนสามารถขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ได้สำเร็จ แต่ก็ยังเป็นเพียงตัวสำรองอยู่ดี
ก่อนที่ ซาลาห์ จะได้ลงประเดิมสนามก็ใช้เวลาไปนานพอสมควร ซึ่งเจ้าตัวได้ลงสนามเป็นแมตช์แรก ในนัดที่ บาเซิ่ล เอาชนะ ธูน ไป 3-1 ในวันที่ 12 สิงหาคม ปี 2012 และหลังจากนั้น เขาก็ได้ลงเล่นเป็นตัวจริง สลับกับตัวสำรองเรื่อยมา และสามารถทำผลงานได้เป็นอย่างดี ทั้งเกมลีกในประเทศ และในการแข่งขัน ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ซึ่งการโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นในถ้วยุโรปนี้เอง ทำให้ผลงานของเขาไปเข้าตาของ “เชลซี” ทีมดังพรีเมียร์ลีก
หลังจากที่ สิงห์บลู ได้ซุ่มดูฟอร์มมาอย่างยาวนาน ต่อมาในปี 2014 เชลซี ก็ได้ทำการยื่นข้อเสนอคว้าตัว ซาลาห์ เข้ามาร่วมทีม ด้วยค่าตัว 11 ล้านปอนด์ ซึ่งเจ้าตัวก็ได้กลายมาเป็นแข้งอียิปต์คนแรกในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ อีกด้วย ซึ่งเขาได้เข้ามาเซ็นสัญญายาวถึง 5 ปี และสวมเสื้อหมายเลข 15 ในทีม
การที่เขาได้ย้ายเข้ามาเล่นในพรีเมียร์ลีก ถือว่าเป็นการก้าวกระโดดอย่างมากของเขส เพื่อหวังจะสร้างชื่อให้กับ เชลซี ทว่าทุกอย่างมันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เมื่อห้องเครื่องของ เชลซี ในขณะนั้น สุดยอดเกินจะบรรยายได้ เพราะมีทั้ง เชส ฟาเบรกาส, ออสการ์, เอเดน อาซาร์, เนมานย่า มาติช รวมทั้ง จอห์น โอบี มิเกล จึงทำให้เขาไม่สามารถเบียดลงเล่นเป็นตัวจริงของทีมได้เลย
เมื่อเข้ามาค้าแข้งในซีซั่นของเขา ได้ลงสนามไปเพียง 13 นัดเท่านั้น ทำให้ ซาลาห์ ต้องขอย้ายออกไปจากทีม เพื่อที่จะหาโอกาสในการลงสนาม ซึ่ง เชลซี ก็ไม่ได้ขัดขวางแต่อย่างใด และได้ให้ ฟิออเรนติน่า ทีมลูกหนังชื่อดังในศึกกัลโช่ เซเรีย อา โดยการยืมตัวไป
การย้ายมาเล่นให้กับ ฟิออเรนติน่า เจ้าตัวก็ทำผลงานได้ดีเยี่ยม แต่เขาก็ได้ค้าแข้งที่นี่เพียงแค่ครึ่งซีซั่นเท่านั้น เขาก็ต้องย้ายทีมไปอีกครั้ง เมื่อเจ้าตัวต้องการที่จะย้ายไปค้าแข้งที่ โรม่า ทีมคู่แข่งร่วมลีก ถึงแม้ว่า “ฟิออเรนติน่า” จะต้องการซื้อขาดก็ตาม ทว่า ซาลาห์ ก็ไม่ต้องการที่จะอยู่ที่นี่ถาวร จนในที่สุดก็ได้ย้ายไปเป็นสมาชิกใหม่ของทัพ “หมาป่ากรุงโรม” สมใจอยาก
การได้ย้ายมาเล่นในรูปแบบการยืมตัว ซาลาห์ ก็ได้ระเบิดฟอร์มออกมาอย่างร้อนแรง ด้วยการยิงไปถึง 15 ประตู กับอีก 7 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 42 เกมในทุกรายการ เขาได้กลายเป็นตัวหลักที่ทีมจะขาดไม่ได้เลย ซึ่งทำให้ โรม่า คว้าตัวมาร่วมทีมโดยไม่ลังเลใจเลยที่จะซื้อขาดเขาด้วยค่าตัว 15 ล้านปอนด์
ต่อมาในซีซั่นที่สองกับ โรม่า นี้เองที่ทำให้ ซาลาห์ โชว์ฟอร์มการเล่นได้เป็นอย่างดี ด้วยการยิงประตูไปถึง 19 ลูก กับอีก 15 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 41 เกมในทุกรายการ จนทำให้ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของสโมสรไปครองอีกด้วย
ด้วยฟอร์มการเล่นที่ดีของ ซาลาห์ ทำให้ไปเข้าตา เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล ที่กำลังสร้างทีมขึ้นมาใหม่ เพื่อการนำทีมกลับขึ้นไปสู่ความยิ่งใหญ่ในลีกอังกฤษให้ได้อีกครั้ง
ซาลาห์ กับจุดสูงสุดของอาชีพค้าแข้ง
ซึ่งในวันที่ 1 กรกฎาคม 2017 ซาลาห์ ก็ได้ย้ายมาร่วมทัพ หงส์แดง เป็นที่เรียบร้อย ด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติสโมสรถึง 42 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเหตุผลหลักที่เจ้าตัวได้เลือกย้ายมาเล่นให้กับ “ลิเวอร์พูล” ก็เพื่อที่จะได้กลับมาพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง หลังจากเคยล้มเหลวกับการเล่นให้กับ เชลซี ว่าเขามีดีมากพอที่คู่ควรจะเล่นใน พรีเมียร์ลีก ได้
และเพียงฤดูกาลแรกที่ได้ลงเล่นกับ “ลิเวอร์พูล” ซาลาห์ ก็ได้ออกมาแสดงให้เห็นว่าเขานั้นคือของจริง ได้ลงเล่นไป 52 เกมในทุกรายการ ยิงประตูไปถึง 44 ลูก กับแอสซิสต์อีก 16 ครั้ง คว้ารางวัลดาวซัลโวของพรีเมียร์ลีก และพาทีมจบอันดับที่ 4 ของตาราง และยังพาทีมเข้าไปชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก อีกด้วย ทว่าก็พลาดท่าแพ้ให้กับ เรอัล มาดริด 1-3 ได้เป็นแค่รองแชมป์เท่านั้น
ซาลาห์ ในฤดูกาล 2018/2019 ก็ยังโชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรง เขาลงเล่นไป 52 เกมรวมทุกรายการ ยิงไปได้ถึง 27 ประตู กับอีก 12 แอสซิสต์ พา “หงส์แดง” เบียดชิงแชมป์กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แบบสูสีกันมาก แต่สุดท้ายก็มาพลาดในช่วงท้ายฤดูกาล กลายเป็น แมนฯ ซิตี้ ที่คว้าแชมป์ไปครอง โดยมีแต้มชนะลิเวอร์พูล ไปเพียงแค่แต้มเดียวเท่านั้น
ต่อมาฤดูกาล 2019/2020 ลิเวอร์พูล ทำแต้มทิ้งห่างทีมอื่น ไปได้แบบไม่เห็นฝุ่น และแทบจะเข้าป้ายรับแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี ตั้งแต่จบครึ่งฤดูกาลแรกแล้ว แต่ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้การฟาดแข้งพรีเมียร์ลีกต้องหยุดการแข่งขันในช่วงต้นเดือนมีนาคม และในกลางเดือนมิถุนายน 2020 ก็ได้กลับมาฟาดแข้งอีกครั้ง หลังจากหยุดแข่งไปนานเกือบ 3 เดือน และเพียงไม่กี่นัดหลังจากกลับมาเตะใหม่ ซาลาห์ และ พลพรรค “หงส์แดง” ก็สามารถผงาดคว้าแชมป์ได้สำเร็จ เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี อีกด้วย
ซึ่งหลังจากจบฤดูกาลนี้ ซาลาห์ ก็ลงเล่นไปทั้งหมด 48 นัดรวมทุกรายการ ทำประตูไปได้ 23 ประตู และทำไปอีก 13 แอสซิสต์ ซึ่งก็ยังถือว่ายอดเยี่ยมอย่างมากแม้สถิติจะตกลงจากซีซั่นก่อนๆ ก็ตาม
ด้วยความสำเร็จมากมายที่ ซาลาห์ ได้สร้างไว้กับ ลิเวอร์พูล ทำให้มีข่าวออกมาว่า เขาอาจจะตัดสินใจย้ายออกจาก หงส์แดง เพื่อไปค้าแข้งกับ 2 ยักษ์ใหญ่แห่งลีกสเปน อย่าง เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า แต่ทว่าเมื่อเปิดฤดูกาล 2020/2021 เขาก็ยังคงค้าแข้งให้กับทีม และยังคงเป็นกำลังหลักที่ทีมจะขาดไม่ได้ เช่นเคย
ผลงานของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์
บาเซิล
- แชมป์ สวิสซูเปอร์ลีก : 2012-13 , 2013-14
เชลซี
- แชมป์ พรีเมียร์ลีก : 2014-15
- แชมป์ อีเอฟแอลคัพ : 2014-15
ลิเวอร์พูล
- แชมป์ พรีเมียร์ลีก : 2019-20
- แชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก : 2018-19
- แชมป์ ยูฟ่าซูเปอร์คัพ : 2019
- แชมป์ ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก : 2019